ดนตรีพื้นบ้านไทย
การดำเนินชีวิตของคนไทยตลอดชีวิต ต้องมีดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ทั้งนี้เป็นไปตามความเชื่อ และ วัฒนธรรมหรือวิถีไทย ดนตรีจะมีส่วนเสริมสร้างความเข้มแข็ง ความสุข ความสนุกสนาน เพื่อให้คลายจากความกลัว ความกังวล ความเหน็ดเหนื่อย หรือความทุกข์ทั้งหลาย
ดนตรีนับว่ามีคุณค่าต่อมนุษย์อย่างมากมาย ดนตรีมีบทบาทในชีวิตคนเราตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย โดยเฉพาะคยนไทย ถ้าได้ยินเสียงดนตรีที่ไหนก็ตาม แสดงว่าที่แห่งนั้น จะต้องมีงาน มหรสพ ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานกุศล งานฉลองต่างๆ หรืองานศพ เป็นต้น
ที่มา http://www.nawin.org.a27.readyplanet.net
ประวัติของดนตรีไทย
ในสมัยกรุงสุโขทัย ดนตรีไทยมีลักษณะเป็นการขับลำนำ และร้องเล่น วรรณคดี "ไตรภูมิพระร่วง" กล่าวถึงเครื่องดรตรี ได้แก่ ฆ้อง กลอง ฉิ่ง แฉ่ง(ฉาบ) บัณเฑาะว์ ซอ พิณ ปี่ไฉน ระฆัง กรับ และกังสดาล
สมัยกรุงศรีอยุธยา มีวงศ์ปี่พาทย์ ที่ยังคงรูปแบบปี่พาทย์เครื่องห้า เหมือนเช่นสมัยกรุงสุโทัย แต่เพิ่มระนาดเอกเข้าไป นับแต่นั้นวงี่พาทยื จึงประกอบไปด้วย ระนาดเอก ปี่ใน ฆ้องวงใหญ่ กล้องทัด ตะโพน ฉิ่ง ส่วนวงมโหรีพัฒนามาจาก วงมโหรีเครื่องสี่ เป็นมโหรีเครื่องหก เพิ่มขลุ่ย และรำมะนา รวมเป็นมี ซอสามสาย กระะจับปี่ ทับ(โทน) รำมะนา ขลุ่ย และกรับพวง
ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เริ่มจากรัชกาลที่ 1 เพิ่มกลองทัดเข้าวงปี่พาทย์อีก 1 ลูก รวมเป็น 2 ลูก ตัวผู้เสียงสูง ตัวเมียเสียงต่ำ รัชกาลที่ 2 ทรงพระปรีชาสามารถการดนตรี ทรงซอสามสาย ซอคู่พระหัตถ์คือซอสายฟ้าฟาด และทรงพระราชนิพนธ์เพลงไทย บุหลันรอยเลื่อน รัชสมัยนี้เกิดกลองสองหน้า พัฒนามาจากเปิงมางของมอญ พอในรัชกาลที่ 3 พัฒนาเป็นวงศ์ปี่พาทย์เครื่องคู่ มีการประดิษฐ์ระนาดทุ้มคู่กับระนาดเอก และฆ้องวงเล็กคู่กับฆ้องวงใหญ่
รัชกาลที่ 4 เกิดวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ พร้อมการประดิษฐ์ระนาดเอกเหล็ก และระนาดทุ้มเหล็ก รัชกาลที่ 5 สมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ทรงคิดค้นวงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพ์ ในรัชกาลที่ 6 นำวงดนตรีของมอญเข้าผสม เรียกวงปี่พาทย์มอญโดยหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) มีการนำอังกะลุงเข้ามาเผยแพร่เป็นครั้งแรก และนำเครื่องดนตรีต่างชาติ เช่น ขิม ออร์แกนของฝรั่งเศส มาผสมเป็นวงเครื่องสายผสม ฯลฯ
ที่มา http://www.learners.in.th

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น